1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร
เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวลจัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้
ในปัจจุบันจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจในการค้าขาย การผลิตสินค้า และการให้บริการทางสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและการปกครอง จนถึงเรื่องเบาๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรื่องสาระบันเทิงในยามประกอบการไปจนถึงเรื่องความเป็นความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทำรัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้น และยังช่วยในการพัฒนาในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจักการให้บริการสังคมพื้นฐาน อาทิเช่น ด้านการศึกษา และการสาธารณสุข ฯลฯ
2. สารสนเทศสนับสนุนงานขององค์กรอย่างไร บ้าง จงอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ ระบบสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ
ประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเป็นหลัก ความพิเศษของเทคโนโลยีทั้งสองนี้ก็ตรงที่ ต่างเป็นเทคโนโลยีที่เสริมซึ่งกันและกัน กล่าวคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหากเป็นเทคโนโลยีเดี่ยว
ระบบสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบไปด้วย หลักสำคัญในการจัดการสารสนเทศเป็นจำนวนมากซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ในทางรูปแบบแนวคิดของการนำไปใช้นั้นจะมีรูปแบบที่ชัดเจนสามารถใช้วิเคราะห์และจัดการได้จากแนวคิดและแนวทางการจัดการสารสนเทศได้ตาม แนวความคิดที่ตกผลึกของกระบวนการจัดส่วนประกอบอื่นๆที่ช่วยสนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
นอกจากแนวคิดระบบใหม่ๆที่ช่วยสนับสนุนสารสนเทศได้แล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่นๆที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนแนวคิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Service-oriented architecture (SOA)
คือ การนำแนวคิดด้านสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชันที่มีการเรียกใช้บริการที่อยู่บนเน็ตเวิร์คหรืออินเทอร์เน็ต หรือมี การให้บริการแก่แอปพลิเคชันอื่นๆ ในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้กับองค์กร โดยอาศัยหลักการเว็บเซอร์วิสซึ่งเป็นแค่เครื่องมือในการใช้งานภายในองค์กรถือเป็นแนวคิดที่ต้องสร้างเองในองค์กร
SOA แบ่งเป็น 2 คำ Service-Oriented และ Architecture[3] - Service-Oriented เป็น Software ที่ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ แพ็คเกจ แต่เป็นซอฟต์แวร์ตัวเล็ก ทำงานเฉพาะด้าน ขึ้นอยู่กับว่าจะแบ่งเป็นบริการอะไรบ้าง
- Architecture คือการออกแบบ โดยจะมององค์กรโดยรวมว่าต้องการบริการอะไรบ้าง ก็จะแบ่งบริการนั้นๆออกเป็นส่วนย่อยๆ
ทั้งนี้ หลายคนมองว่า SOAคือเว็บเซอร์วิสแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เพราะเว็บเซอร์วิสเป็นแค่เครื่องมือในการใช้งาน ดังนั้น SOA จึงไม่ใช่สินค้า หาซื้อไม่ได้ แต่มันคือแนวคิดที่ต้องสร้างเองในองค์กร
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ SOA ประกอบด้วย 4 ส่วนคือ
- Enterprise Service Bus เป็นโครงข่ายสำคัญในการขับเคลื่อน SOA ทั้งหมด เป็นการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชัน
- Design-Time Governance เป็น ดาต้าเบส กลางช่วยรวบรวมว่าองค์กรมีบริการอะไรบ้าง และช่วยนำบริการออกไปยังหน่วยงานและควบคุมบริการให้เหมาะสมกับองค์กรด้วย
- Run-Time management เป็นตัวจัดการ ทำอย่างไรให้บริการทำงานสอดคล้องกับ SOA ที่ตั้งไว้
- Security Gateway ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง Firewall ที่เป็นเน็ตเวิร์ก แต่เป็น Application Firewall ที่เข้าใจ คำสั่ง XML นอกจากนี้ต้องมี Application Delivery Control ช่วยเร่งความเร็วในการทำงานของ SOA ด้วย
3. เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไรบ้าง ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์(Strategic Information Systems: SIS)
ความสำคัญของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
บทบาทที่สำคัญประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ คือ บทบาทในด้านกลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะสินค้าหรือบริการ กระบวนการทำงาน องค์การ โครงสร้างอุตสาหกรรมและการแข่งขันได้ จึงมีหลายองค์กรที่ได้นำเอาระบบสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือ และสร้างความได้เปรียบในด้านการแข่งขัน
ความหมายของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ SIS ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่าน เช่น
· ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (SIS) คือ ระบบคอมพิวเตอร์ในระดับใดก็ตามขององค์การซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ การดำเนินงาน ผลผลิต การบริการหรือความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ขององค์การ เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับองค์การ (Laudon & Laudon, 1995)
· ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (SIS) คือ ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนหรือสร้างตัวแปรและกลยุทธ์ความได้เปรียบในการแข่งขัน SIS อาจจะเป็นระบบสารสนเทศแบบใดก็ได้ TPS, MRS, DSS, ฯลฯ ที่ช่วยทำให้ความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ลดความเสียเปรียบในการแข่งขัน หรือช่วยในการบรรลุผลด้านกลยุทธ์อื่น ๆ
· ความสัมพันธ์ของกลยุทธ์ด้านต่างๆ
กรอบแนวคิดเรื่องระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
1.กลยุทธ์ของธุรกิจ: เป็นกรอบสำหรับกลยุทธ์ขององค์กรและกลยุทธ์สารสนเทศ, เป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจ, เป็นตัวกำหนดแผนเพื่อตอบสนองต่อพลังของตลาด ความต้องการของลูกค้าและความสามารถขององค์กร
2.กลยุทธ์ขององค์การ : เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบองค์กร ควบคุมการดำเนินงานขององค์กรให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามกลยุทธ์ของธุรกิจได้
3.กลยุทธ์ด้านสารสนเทศ : ใช้ในการสนับสนุนกลยุทธ์ของธุรกิจ และกลยุทธ์ขององค์กร และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
กลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
1. กลยุทธ์การใช้ต้นทุนต่ำ (Cost Leadership Strategy) เช่น Air Asia ใช้ ระบบการจองตั๋ว ผ่านระบบ Internet ช่วยลดต้นทุนการจ้างพนักงานตัวแทนจำหน่าย
2. กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Differentiation Strategy)
เช่น โทรศัพท์มือถือ Hutch นำระบบ GIS เข้ามาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเลือกเส้นทางเดินทาง หรือตรวจสอบที่อยู่ของอีกฝ่าย
3. กลยุทธ์ในการเน้นกลุ่มเป้าหมาย (Focus Strategy)
เช่น บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) เสนอทางเลือกการใช้บัตรให้แก่สมาชิก โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายพฤติกรรมการใช้ของลูกค้า
4) กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม (Innovation Strategy)
เช่น ร้านหนังสือ online ชื่อ amazon.com ได้นำระบบ E-commerce มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยที่ร้านไม่มีสถานที่ที่ตั้งให้ลูกค้าได้ไปเยี่ยมชมเลือกซื้อหนังสือ แต่สามารถทำกำไรได้หลายร้อยล้านดอลล่าต่อปี
5.กลยุทธ์ด้านพันธมิตร (Alliance Strategy)
เช่น บริษัท ชิน คอร์ป ร่วมมือกับ แอร์ เอเชีย ดำเนินธุรกิจสายการบินแบบประหยัด (low cost) และพัฒนาระบบเกี่ยวกับระบบการให้บริการ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกัน
ผลกระทบของสารสนเทศต่อการแข่งขัน
1. สารสนเทศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม:
เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมหรือรูปแบบการดำเนินงานอุตสาหกรรมได้ เช่น นำระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาแทนระบบ Manual System, หรือการนำสารสนเทศเข้ามาใช้ทำให้ขนาดองค์กรเล็กลง (Downsizing), นำระบบ Network มาใช้บริหารจัดการงานมากขึ้น ทำให้สายบังคับบัญชาการทำงานไม่ชัดเจน เป็นต้น
2. สารสนเทศทำให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขัน
สารสนเทศช่วยสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน, การทำให้เกิดความแตกต่างในสินค้า/บริการ, การสร้างนวัตกรรมใหม่, และการสร้างความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการประสานงานระดับต่าง ๆ ขององค์กร
3.สารสนเทศสร้างธุรกิจใหม่
สารสนเทศทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นในอุตสาหกรรม 3 ทางคือ
-ทำให้การสร้างธุรกิจใหม่มีความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค
-เทคโนโลยีทำให้มีความต้องการธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจ Hardware, Software หรือรูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ
- เทคโนโลยีสร้างธุรกิจใหม่จากพื้นฐานธุรกิจเดิม
4. .ให้นักศึกษาอธิบายหัวข้อต่อไปนี้
- ระบบสารสนเทศด้านการจัดการโซ่อุปทาน
โซ่อุปทาน หรือ ห่วงโซ่อุปทาน หรือ เครือข่ายลอจิสติกส์ คือ การใช้ระบบของหน่วยงาน คน เทคโนโลยี กิจกรรม ข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากร มาประยุกต์เข้าด้วยกัน เพื่อการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือบริการ จากผู้จัดหาไปยังลูกค้า กิจกรรมของห่วงโซ่อุปทานจะแปรสภาพทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และวัสดุอื่นๆให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จ แล้วส่งไปจนถึงลูกค้าคนสุดท้าย (ผู้บริโภค หรือ End Customer) ในเชิงปรัชญาของโซ่อุปทานนั้น วัสดุที่ถูกใช้แล้ว อาจจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ที่จุดไหนของห่วงโซ่อุปทานก็ได้ ถ้าวัสดุนั้นเป็นวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable Materials) โซ่อุปทานมีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่า[1]
โดยทั่วไปแล้ว จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่มักจะมาจากทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางชีววิทยาหรือนิเวศวิทยา ผ่านกระบวนการแปรรูปโดยมนุษย์ผ่านกระบวนการสกัด และการผลิตที่เกี่ยวข้อง เช่น การก่อโครงร่าง, การประกอบ หรือการรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะถูกส่งไปยังโกดัง หรือคลังวัสดุ โดยทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย ปริมาณของสินค้าก็จะลดลงทุกๆครั้ง และไกลกว่าจุดกำเนิดของมัน และท้ายที่สุด ก็ถูกส่งไปถึงมือผู้บริโภค
การแลกเปลี่ยนแต่ละครั้งในห่วงโซ่อุปทาน มักจะเกิดขึ้นระหว่างบรรษัทต่อบรรษัท ที่ต้องการเพิ่มผลประกอบการ ภายใต้สภาวะที่พวกเขาสนใจ แต่ก็อาจจะมีความรู้น้อยนิด/ไม่มีเลย เกี่ยวกับบริษัทอื่นๆในระบบ ปัจจุบันนี้ ได้เกิดบริษัทจำพวกบริษัทลูก ที่แยกออกมาเป็นเอกเทศจากบริษัทแม่ มีจุดประสงค์ในการสรรหาทรัพยากรมาป้อนให้บริษัทแม่
- ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ CRM (Customer Relationship Management)การบริหารลูกค้าสัมพันธ์
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการจะช่วยให้เกิดการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการ ซึ่งมีเป้าหมายสุดท้ายในการเปลี่ยนจากผู้บริโภคไปสู่การเป็นลูกค้าตลอดไป CRM เข้ากับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังลดความสลับซับซ้อนที่อาจจะยังไม่ทราบได้ว่าจะเริ่มแก้จากตรงจุดไหน หน้าที่งานของระบบ CRM มักจะรวมถึง ระบบการบริหารการขาย ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ระบบรองรับการบริการลูกค้า และระบบลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center)
เนื่องจากระบบ CRM เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการดำเนินธุรกิจที่นำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ ดังนั้นการดูแลระบบให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น ฝ่ายสารสนเทศ หรือผู้ออกแบบและผู้จัดทำเว็บไซต์ขององค์กร นอกจากนั้นการเชื่อมระบบ ERP กับ CRM เข้าด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก และอาจจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการขายและบางทีอาจจะนำเสนอบริการในรูปแบบอื่นให้กับลูกค้าได้
- ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร
ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์การ (Enterprise Resource Planning : ERP) เป็นระบบสารสนเทศที่บูรณาการงานหลักต่างๆ ขององค์การ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารบุคคล ฯลฯ เข้าด้วยกันโดยเชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์ (Real Time) เพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลหรือสารสนเทศโดยภาพรวมและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
วิวัฒนาการของระบบ ERP
ประมาณช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 วงการอุตสาหกรรมได้นำระบบการวางแผนความต้องการวัสดุ หรือ MRP (Material Requirements Planning) มาช่วยสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการหารายการและจำนวนวัสดุที่ต้องการตามแผนการผลิตที่วางไว้ และนำมาช่วยด้านบริหารการผลิต ซึ่งระบบ MRP ได้รับการยอมรับว่าสามารช่วยลดระดับวัสดุคงคลังลงได้ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออก และช่วยให้การวางแผนและการสั่งซื้อวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1980 ระบบการผลิตมีความซับซ้อนมากขึ้นจึงมีการขยายขอบเขตระบบ MRP จากเดิมโดยรวมเอาการวางแผนและการบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆ เข้ามาในระบบด้วยและเรียกว่าระบบ MRP II (Manufacturing Resource Planning) อย่างไรก็ตามระบบ MRP II สนับสนุนการดำเนินงานในส่วนของการผลิต ยังไม่สามารถสนับสนุนการทำงานทั้งหมดในองค์การได้ จึงมีการขยายระบบให้ครอบคลุมงานหลักทุกอย่างในองค์การจึงเป็นที่มาของระบบ ERP
กระบวนการทางธุรกิจที่สนับสนุนโดยระบบ ERP
กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) ทั้งหมดในองค์การไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตสินค้า กระบวนการฝ่ายการเงินและการบัญชี กระบวนการขายและการตลาด กระบวนการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และอื่น เพื่อให้กระบวนการทำงานต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ รวดเร็ว ไม่ซ้ำซ้อน และสามารถลดต้นทุนทั้งระบบได้ ข้อมูลจากกระบวนการหรือส่วนต่างๆ ขององค์การจะถูกจัดเก็บไว้ที่เก็บข้อมูลส่วนกลางซึ่งระบบงานอื่นๆ สามารถใช้งานข้อมูลร่วมกันได้ และยังช่วยให้ผู้บริหารได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่ทันสมัย เพื่อใช้ในการบริหารและกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และรวดเร็วทันเหตุการณ์
· ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
ความหมายการจัดการความรู้ (Knowledge Management) การจัดการความรู้เป็นกระบวนการรวบรวม จัดระบบ จัดหมวดหมู่ และเผยแพร่สารสนเทศทั่วทั้งองค์การเพื่อให้ผู้ที่ต้องกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ (Alter,1988 อ้างถึงใน Shukla,www.geoities.com/madhukar_shukla/km.pdf) การจัดการความรู้เป็นการรวบรวมวิธีปฏิบัติขององค์การและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างการนำไปใช้ และการเผยแพร่ความรู้และบริบทต่างๆทีเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ (World Bank อ้างถึงใน สุวรรณ เหรียญเสาวภาคย์ และคณะ,2548) การจัดการความรู้เป็นการนำความรู้ให้กับผู้ที่ต้องกาในเวลาเหมาะสม ระบบการจัดการความรู้ ระบบการจัดการความรู้ หรือ เคเอ็มเอส ประกอบด้วย กลุ่มของเทคโนโลยี 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกันและกลุ่มเทคโนโลยีด้านหน่วยเก็บและค้นคืนข้อมูลโดยมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร คือ สื่อกลางที่ยินยอมให้ผู้ใช้เข้าถึงความรู้และสื่อสารความรู้นั้นกับบุคคลอื่นโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งผ่านทางอีมล อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต ตลอดจนเครื่องมือต่างๆของระบบบนเว็บ แม้กระทั่งเครื่องโทรสาร และโทรศัพท์ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการ สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้ อาทิเช่น ปัญญาประดิษฐ์ โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ การค้นพบความรู้ในฐานข้อมูล และภาษาเอกซ์เอ็มแอล ล้วนเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีชั้นสูงของเคเอ็มเอสและถือเป็นพื้นฐานด้านนวัตกรรมใหม่ของสาขาการจัดการความรู้ในอนาคต ซึ่งมีรายละเอียดของเทคโนโลยีทั้ง 4 ชนิด ปัญญาประดิษฐ์ จากนิยามของการจัดการความรู้จะค่อยเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์เท่าใดนัก แต่ในทางปฏิบัติ เครื่องมือของปัญญาประดิษฐ์มักจะฝังตัวอยู่ในเคเอ็มเอส ไม่ว่าการฝังตัวจะกระทำโดยผู้ขายซอฟแวร์หรือผู้พัฒนาระบบก็ตาม วิธีปัญญาประดิษฐ์จะชี้ให้เห็นถึงความรู้ความชำนาญภายใต้เครื่องมือที่ใช้ดึงความรู้ออกมาอย่างอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ โดยอาศัยส่วนต่อประสานซึ่งผ่านการประมวลภาษาธรรมชาติ ตลอดจนการค้นหาความรู้จากฐานความรู้โดยใช้โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะเป็นเครื่องมือ วิธีปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักดี คือ ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems) โครงข่ายเส้นประสาท (Neural Networks) ตรรกศาสตร์คลุมเครือ (Fuzzy Logic) และโปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ (Intelligent Agents) ระบบเหล่านี้จะถูกรวมตัวกันอยู่ในเคเอ็มเอส เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่างๆทั้งในส่วนของการเพิ่มสมรรถนะของการค้นหาความรู้ การกราดตรวจอีเมล เอกสารและฐานข้อมูล ตลอดจนโครงร่างความรู้ (Knowledge Profiles) ทั้งในส่วนบุคคลและกลุ่มงาน มีการใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่ เพื่อพยากรณ์ถึงผลลัพธ์ในอนาคตมีการกำหนดความสัมพันธ์ของความรู้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ มีการชี้ให้เห็นรูปแบบข้อมูลด้วยระบบโครงข่ายเส้นประสาท มีการนำกฎที่ใช้สำหรับระบบผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้ข้อคิดเห็นด้านความรู้ผ่านระบบโครงข่ายเส้นประสาทและระบบผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งมีการใช้เสียงเพื่อสั่งงาน ด้วยการประมวลภาษาธรรมชาติที่ต่อประสานเข้ากับเคเอ็มเอส
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการจัดการความรู้ในองค์การ เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการความรู้โดยเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนการจัดการความรู้ในองค์การให้มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกนำมาใช้กับการจัดการความรู้ เช่น- ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ - ระบบสืบค้นข้อมูลข่าวสาร- ระบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์- ระบบประชุมอิเล็กทรอนิกส์- การเผยแพร่สื่อผ่านระบบเครือข่าย- การระดมความคิดผ่านระบบเครือข่าย- ซอฟต์แวร์สนับสนุนการทำงานร่วมกันเป็นทีม- บล็อก (Blog หรือ Weblog) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ หรือประสบการณ์ ผ่านพื้นที่เสมือน (Cyber Space)ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ 1. ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร ซึ่งผู้บริหารในองค์การควรมีความเข้ใจและตระหนักถึงความสำคัญ รวมทั้วประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการความรู้ 2. มีเป้าหมายของการจัดการความรู้ที่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายนี้จะต้องสอดคล้อกับกลยุทธ์ขององค์การ 3. มีวัฒนธรรมองค์การที่เอื้อต่อกรแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ภายในองค์การ 4. มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ เช่น ค้นหาความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล จัดระเบียบและดึงเอาความรู้ไปใช้อย่างเหมาะสม 5. ได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกระดับ และบุคลากรต้องตระหนักถึงความสำคัญและเห็นถึงคุณค่าของการจัดการความรู้ 6. มีการวัดผลของการจัดการความรู้ ซึ่งจะช่วยให้องค์การทราบถึงสถานะ และความคืบหน้าของการจัดการความรู้ ทำให้สามารถทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ 7. มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับหรือเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ 8. มีการพัฒนาการจัดการความรู้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ประโยชน์ของการจัดการความรู้การจัดการความรู้ที่ดี ช่วยให้องค์การไดรับประโยชน์ เช่น- ช่วยเก็บรักษาความรู้ให้ควบคู่กับองค์การตลอดไป- ช่วยลดระยะเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือการเรียนรู้งานใหม่- ปรับปรุงประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับทุกส่วนขององค์การ- เสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ- ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งจะส่งผลให้บุคลากรมีคุณภาพเพิ่มขึ้นและสามารถประยุกต์
· ระบบสารสนเทศด้านอัจริยะทางธุรกิจ
จากความจำเป็นในการแข่งขันด้านธุรกิจ ส่งผลให้ระบบสารสนเทศต้องมีการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงธุรกิจ ที่จริงแล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบสารสนเทศเป็นอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่ง ที่มีผลโดยตรงต่อธุรกิจเลยทีเดียว บริษัทหลายแห่งยอมลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากกับระบบเพื่อมุ่งหวังผลการเจริญเติบโตทางธุรกิจ และในเวลาเดียวกันก็มุ่งหวัง การช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ มาชดเชยด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นทั้งระบบจะต้องตอบสนอง และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้รับมือกับความเปลี่ยนไปได้อย่างทันท่วงที ซึ่งถ้าจะมองไปแล้วระบบเครือข่าย ก็เป็นตัวจักรสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่ต้องทำงานประสานกับแอพพลิเคชั่น และผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ถือเป็นองค์ประกอบที่บริษัทไม่สามารถปล่อย ให้เกิดการหยุดทำงานได้อีกต่อไป ลองสังเกตดูง่ายๆ ในสมัยก่อนถ้าเกิดเหตุการณ์ไฟดับขึ้นมา พนักงานทุกคนก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ เราจึงต้องมีระบบสำรองไฟขึ้นมาใช้ เช่นเดียวกันกับสมัยนี้ ถ้าระบบเครือข่ายเสียขึ้นมาต่อให้เซิร์ฟเวอร์ และแอพพลิเคชั่นของผู้ใช้ไม่มีปัญหาอะไร พนักงานก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
จากที่กล่าวมานี้เราจึงมีความจำเป็นที่ต้องการระบบเครือข่ายที่สามารถจะปรับเปลี่ยน และยืดหยุ่นมากเพียงพอที่จะรองรับความต้องการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และนอกจากนี้จะต้องมีระบบปกป้องตัวเองไม่ให้หยุดการทำงานอันเนื่องมาจากอุปกรณ์เสีย วงจรเชื่อมต่อล่ม หรือเลยไปถึงการหยุดให้บริการจากการถูกโจมตีโดยผู้ไม่หวังดีด้วยวิธีการต่าง ๆ จากที่กล่าวมาถึงความสำคัญของระบบเครือข่าย จึงมีแนวความคิดของเครือข่ายแห่งอนาคตที่เรียกว่า “ระบบเครือข่ายสารสนเทศอัจฉริยะ” (IIN:Intelligent Information Network) ที่จะรองรับ และตอบสนองการดำเนินของธุรกิจได้อย่างเต็มที่
ระบบเครือข่ายอัจฉริยะยังจะต้องมีความสามารถที่จะเรียนรู้ และเข้าใจว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่วิ่งอยู่บนตัวมันคือข้อมูลอะไร มันไม่เพียงแค่รู้ว่ามันเป็นข้อมูลของแอพพลิเคชั่นใดเท่านั้น แต่ยังมองลึกลงไปด้วยว่า เป็นข้อมูลชนิดไหน หรือแอพพลิเคชั่นนั้น ๆ กำลังทำชิ้นงาน หรือทำรายการอะไรอยู่ ถ้าเครือข่ายสามารถเข้าใจการทำงานของแอพพลิเคชั่นได้แล้ว แอพพลิเคชั่นก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่ งานบางอย่างที่เดิมเคยถูกประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์จะสามารถถูกย้ายมาทำงานบนเครือข่ายได้ ทำให้เซิรฟเวอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประโยชน์อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อเครือข่ายมีความเข้าใจมากขึ้น มันก็สามารถที่จะเลือกให้บริการ และตอบสนองความต้องการของแอพพลิเคชั่นได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเครือข่ายสามารถเข้าใจแอพพลิเคชั่นการสั่งจองสินค้าจากร้านค้าถึงผู้ผลิต เช่นเครือข่ายสามารถแยกแยะรายการคำสั่งซื้อสินค้ามูลค่าสองหมื่นบาท กับรายการคำสั่งซื้อสินค้ามูลค่าสองล้านบาท เครือข่ายก็ควรจะให้ความสำคัญกับรายการหลังมากกว่ารายการแรก และอาจช่วยส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วสูงได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การเข้ารหัสเพื่อป้องกัน และปกป้องข้อมูลซึ่งสามารถทำได้ทั้งบนครือข่าย หรือบนเซิร์ฟเวอร์ ถ้าทำบนเซิร์ฟเวอร์ก็คงต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นจริง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเราโยกการเข้ารหัสมาทำบนครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ก็จะใช้ประสิทธิภาพทั้งหมดมารองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นได้อย่างเต็มที่ ยิ่งในระบบที่มีเซิร์ฟเวอร์มาก ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจะเห็นประโยชน์ชัดเจนมากขึ้น หรืออีกประการหนึ่งคือการป้องกันไวรัส และเวิร์ม ถ้าเราป้องกันโดยใช้ซอร์ฟแวร์ที่วิ่งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เราก็จะต้องติดตั้งซอร์ฟแวร์ลงบนเครื่องทุกเครื่อง อีกทั้งเรายังปล่อยให้เกิดการระบาดเข้ามาจนถึงตัวเครื่องอีกด้วย ถ้าเป็นการโจมตีบุกรุกก็คงเห็นผลเต็มที่ได้เลยว่า เราสามารถปกป้องเครื่องของเราได้ แต่ครือข่ายอาจจถูกโจมตีไปแล้วจนใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าเราติดตั้งระบบป้องกันที่ระดับเครือข่ายเลย มันก็จะปกป้องกันตั้งแต่ทางเข้าเลยทีเดียว จะสังเกตได้ว่าฟังก์ชั่นหลาย ๆ อย่าง ถ้าโยกลงมาทำในระบบเครือข่ายแล้วละก็จะได้ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ที่เต็มที่กว่าเดิม
ที่มา:
.http://th.wikipedia.org/
report-easy.blogspot.com/2009/07/blog-post_555.htmlsites.google.com/site/it524249117
benefits/ngan-klum-supply-chainarmka2518.exteen.com/20090223/entry
นส.นวลลักษณ์ ศรียาชีพ บ.กจ3/1